ในประเทศไทยตอนนี้ มีอัตราการเติบโตการใช้่ Facebook เป็นอันดับ 5 ของโลก และมีผู้ใช้คนไทยเกินกว่า 1 ล้านคนในตอนนี้ ซึ่งเมื่อรวมยอดผู้ใช้ทั่วโลกแล้วก็มีมากกว่า 300 ล้านคน
Facebook นั้นเริ่มต้นจากการที่เป็นเครื่องมือที่ใช้แชร์เรื่องราว แชร์รูปภายในกลุ่มเพื่อนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยและศิษย์เก่าเข้าด้วยกัน จนตอนนี้เป็น Social Media ที่มีผู้ใช้จำนวนมากและกลายเป็นระบบที่มี application หลากหลายและเปิดการเชื่อมต่อไปยัง social media อื่นๆอีก การเข้าไปใช้เครื่องมืออย่าง Facebook นั้นถือได้ว่าเป็นการตลาดเชิงรุก เนื่องจากเรานำเรื่องราวของเราไปไว้ในกลุ่มคนที่มีการแชร์เรื่องราวต่อกัน ทำให้กลุ่มคนที่สนใจต่อสินค้าและบริการของเรานั้นสามารถเข้ามาเยี่ยมชมหน้าของเรา ให้คำติชม หรือให้ความเห็นเกี่ยวกับสินค้าและบริการของเราต่างๆได้ ซึ่งเปรียบได้กับการยกสินค้าและบริการของเราจากที่เคยอยู่ในสถานที่ที่หนึ่ง ไปไว้ในชุมชนขนาดใหญ่ ให้ผู้คนที่แวะเวียนผ่านไปมาได้เห็น ได้บอกเล่าต่อกันและติชมได้
ทำไมต้อง Facebook
เนื่องจาก Facebook ได้กลายเป็น social media ที่นอกจากจะมีเครื่องมือต่างๆหลากหลายให้สามารถเข้าไปใช้งานตามความต้องการได้ ยังมีเครื่องมือที่สามารถแสดงค่าสถติที่สามารถเอามาวิเคราะห์ถึงความคิดของคนที่มาเยี่ยมชมสินค้าและบริการของเราได้ ทั้งยังสามารถสร้าง badge หรือป้ายไปติดตามที่เว็บไซต์เพื่อส่งต่อเรื่องราวและผลิตภัณฑ์เราผ่านผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บได้อีกด้วย หน้าใน Facebook หลักๆนั้นจะมีอยู่ 3 แบบได้แก่หน้า profile หน้า page และหน้า group ซึ่งมีหน้าที่จุดประสงค์และการใช้งานที่แตกต่างกันดังนี้
หน้า Profile
หน้า profile นั้น เป็นหน้าทั่วไปของผู้ใช้่ Facebook ซึ่งจะมีเมนูให้เอาไว้ใส่ลิงก์ เขียนคำติชม คอมเมนท์ อัพโหลดรูปภาพ ข้อมูลส่วนบุคคล ความเห็นต่อสังคมและแสดงหน้า application ที่ใช้หรืออื่นๆ เรียกได้ว่าหน้านี้ก็แทน Hi5 หรือเป็นหน้าบล็อกย่อมๆนั่นเอง ซึ่งเราสามารถเข้าไปแก้ไข url ให้เป็นชื่อตามที่เราต้องการได้
หน้า Page
หน้า page นั้นเป็นหน้าที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรง ซึ่งหน้านี้สามารถสร้างได้จากหน้า profile โดยเข้าไปที่หน้าcreate page เมื่อสร้างเสร็จก็ทำการส่งต่อให้เพื่อนๆหรือคนในเครือข่ายเราให้มารู้จัก อาจจะเริ่มจากคนสนิทก่อน ซึ่งนั่นก็คือการใช้เครือข่ายของเพื่อนเราเองในการโฆษณาให้คนเข้ามาเป็นแฟนคลับ เป็นสมาชิกเกี่ยวกับธุรกิจและบริการของเรา ซึ่งหน้า page นี้ทาง Facebook ก็ให้เราสามารถใส่ข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร สินค้าและบริการเอาไว้ได้ และสามารถใช้หน้านี้ทำการประกาศข่าวต่างๆ กิจกรรมหรือโครงการให้ร่วมสนุก รวมถึงสามารถใส่วิดีโอต่างๆ หรือดึงข่าวจากบล็อกมาไว้ที่หน้านี้
นอกจากนี้คุณยังสามารถทำออกมาเป็นป้าย(badge) เพื่อให้สามารถนำไปติดตามเว็บไซท์หรือบล็อกให้คนเข้ามาร่วมเป็นแฟนโดยไม่ต้องเข้ามาใน Facebook ซึ่งในหน้า page นี้ก็สามารถเปลี่ยนชื่อ url ได้เช่นกัน โดยมีข้อกำหนดว่าจะต้องมีแฟนคลับเป็นสมาชิกเกิน 50 คนขึ้นไป สามารถเข้าไปเปลี่ยนได้
หน้า Group
หน้า group นั้นสามารถเข้าไปสร้างได้ที่หน้า group แตกต่างจากหน้า page เล็กน้อย เนื่องจาก group นั้นเป็นกลุ่มที่รวมกลุ่มคนที่มีความสนใจในด้านเดียวกันเอาไว้ ซึ่งความแตกต่างจาก page ก็คือคนที่ทำหน้าที่ดูแลกลุ่มนั้นจะมีสิทธิที่จะอนุญาตให้คนที่สนใจเข้ากลุ่มหรือไม่ก็ได้ หรือจะซ่อนหน้ากลุ่มนี้เอาไว้เป็นส่วนตัวก็ได้ ซึ่งแตกต่างจาก page ที่ทุกคนสามารถเข้ามาเป็นสมาชิกได้และไม่สามารถซ่อนเอาไว้ได้
การโปรโมรและการโฆษณา
นอกจากนี้ Facebook ยังเปิดให้สามารถสร้าง application ขึ้นไปเพื่อทำการโปรโมท หรือจะทำโฆษณา เพื่อให้ปรากฎอยู่ Facebook ก็ได้ อีกทั้งยังสามารถสร้างหน้ากิจกรรมเอาไว้เพื่อโปรโมทกิจกรรมต่างๆ แล้วชวนคนที่สนใจมาร่วมกิจกรรมกันได้ ในต่างประเทศนั้นหลายๆธุรกิจประสบความสำเร็จกับการทำการตลาดบน Facebook อย่างมาก เช่น ร้านกาแฟชื่อดังอย่าง Starbucks ก็สร้าง application ให้คนใน Facebook ร่วมคิดค้นกาแฟและส่งต่อๆกันเป็นของขวัญให้แก่กัน หรืออย่าง Burger Kings นั้นก็มีกิจกรรมที่ประหลาดโดยการให้คนนั้นยกเลิกการเป็นเพื่อนกับคนใน Facebook เพื่อมาแลกเป็นคูปองได้เบอร์เกอร์ฟรี
สำหรับประเทศไทยมีหลายองค์กร หรือธุรกิจที่เข้าไปจับจองพื้นที่บน Facebook กันอย่างมากในปัจจุบัน และสร้างกิจกรรมที่น่าสนใจหลากหลายอย่างเช่นตัวอย่างเช่น GTH ค่ายหนังที่เข้ามาสู่ Social Media เต็มตัว ซึ่งใน Facebook ของ GTH นั้นจะมีทั้งหน้า profile และ page ซึ่งในส่วนของ page นั้นก็มีคนเข้ามาเป็นแฟนมากกว่า 20,000 คน และมีกิจกรรมอันหลากหลายให้ทุกคนได้ร่วมสนุกผ่านหน้า page ทำให้เกิดการประชาสัมพันธ์กิจกรรมหรือภาพยนต์แบบปากต่อปากให้คนชักชวนเพื่อนมาร่วมสนุกกันได้
ธุรกิจแอลกอฮอล์อย่าง Smirnoff ก็เข้ามาจับจองพื้นที่สร้างกระแสโดยการใช้หน้า page นั้นเป็นที่ประกาศกิจกรรมต่างๆ ว่าจะมีการจัดงานที่ไหน ศิลปินคนไหนจะมาขึ้นเวที และยังมีการแข่งกับ page กับธุรกิจอื่นๆ ด้วยว่าใครจะมีแฟนคลับมากกว่ากัน
จากภาคธุรกิจต่างๆ นักการเมืองในไทยก็ใช้ Facebook เป็นตัวชี้วัดความนิยมของตัวเอง ใช้เป็นแหล่งในการสร้างภาพลักษณ์ กระจายข่าวที่ตัวเองไม่เคยได้พูดต่อสื่อหรือแม้กระทั้งสอบถามความคิดเห็นดังตัวอย่างเช่น สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก็ใช้ทั้งหน้า profile และหน้า page เพื่อไว้กระจายข่าวสารของตัวเองรับฟังความเห็นของประชาชน หรือของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ก็ใช้ Facebook เป็นสื่อในการสร้างกระแสให้ตัวเองเช่นกัน
สุดท้ายที่เป็นธุรกิจด้านบันเทิงอย่าง MCOT.net ของสถานีโทรทัศน์อสมท. ก็มาสร้างหน้า page เอาไว้เพื่อเป็นแหล่งกระจายข่าวย้อนหลัง คลิปข่าว คลิปเสียงต่างๆ และรายการย้อนหลังและล่วงหน้า เพื่อให้คนเข้ามาติดตามข่าวสารได้ว่าจะมีอะไรในรายการของ MCOT.net
นอกจากนี้ยังมีภาคการธนาคารอย่าง KTC ที่เข้ามาหาสมาชิกจากใน Facebook โดยการสร้างเครือข่ายใช้การสื่อสารแบบเพื่อนคุยกับเพื่อน อย่างเช่นการแนะนำร้านอาหารเด็ดๆ การสอบถามสารทุกข์สุขดิบ และมีหน้าโปรโมชั่นหรือกิจกรรมที่เหมือนให้สิทธิพิเศษแก่ผู้เป็นสมาชิก fan page ของตัวเองเช่นกัน ซึ่งทำให้ KTC มีแฟนคลับกว่า 5,000 คน และตัวอย่าง
จะเห็นได้ว่า Facebook นั้นกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในยุคนี้ ในการทำการตลาดออนไลน์ และสร้างกระแสแบบปากต่อปากให้มายิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน Facebook นั้นสามารถเอาไปผูกกับ Social media อื่นๆ อย่างเช่น Twitter ได้แล้ว ทำให้สามารถรับและส่งข้อความจาก Twitter ไปสู่ Facebook ได้ และกฏเดิมในการใช้ Facebook นั้นคือผู้ใช้ต้องทำตัวเป็นเพื่อนมากกว่ามายัดเยียดขายสินค้า ซึ่งนั่นคือต้องทำการให้ก่อนที่จะรับ และรับฟังความคิดเห็นต่างๆ เพื่อนำไปปรับปรุงบริการและสินค้าของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น